วันต่อต้านโทษประหารชีวิตสากล:
ประเทศไทยอยู่ตรงไหน
มรดกทางประวัติศาสตร์อันโหดร้ายมนุษย์ถูกมอบให้นั้นได้แก่
โรคระบาดร้ายแรง ทาส
การทรมานและโทษประหารชีวิต
การเกิดขึ้นขององค์กรสหประชาชาติและมาตรฐานในการมีมนุษยธรรมของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนทำให้เราเห็นว่าการมีทาสและการทรมานเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักสิทธิมนุษยชน
แต่โทษประหารชีวิตก็ยังเป็นสิ่งที่ยังคงอยู่ใน
43
จาก 193
ประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ
นายบัน
คีมุน เลขาธิการแห่งองค์การสหประชาชาติ
ได้มีข้อความถึงวันต่อต้านโทษประหารชีวิตสากลในปี
2556 นี้
ซึ่งกล่าวว่า
มีการขาดอำนาจทางการเมืองในการแทรกแซงในการยกเลิกโทษประหาร
ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นหลักในการที่โทษประหารชีวิตยังคงอยู่ในประเทศนั้นๆ
นายบัน
คีมุนได้วอนขอให้ผู้นำทางการเมืองในประเทศทั่วโลกที่ยังมีการใช้โทษประหารชีวิตอยู่ให้ยกเลิกการใช้โทษประหารชีวิต
โดยการรณรงค์เอาโทษประหารชีวิตออกจากกระบวนการยุติธรรมนั้น
ส่วนใหญ่แล้วยังคงมีการต่อต้านจากตัวผู้นำเอง
ในกรณีของประเทศไทย
ทัศนคติของผู้นำทางการเมืองในประเทศไทยนั้นไม่ว่าจะไม่กระตือรือร้นหรือไม่สนใจในเรื่องดังกล่าว
ผลลัพธ์ก็ออกมาในแบบเดียวกันคือ
การคงอยู่ของโทษประหารชีวิตในกระบวนการยุติธรรม
เลขาธิการของสหประชาชาติยังกล่าวด้วยว่า
การเอาชีวิตนั้นถือเป็นสิ่งที่คนๆ
หนึ่งมีอำนาจในการลงโทษเหนือคนอีกคนหนึ่งอย่างสมบูรณ์เกินไปและเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้
และสิ่งเหล่านั้นก็ยังได้รับการสนับสนุนจากกระบวนการยุติธรรม
ในหลายๆ ครั้ง
ถึงแม้กระบวนการยุติธรรมมีขั้นตอนหลายขั้นตอนในการหาตัวผู้กระทำผิด
แต่ก็ยังเกิดความผิดพลาดก่อให้เกิดการประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์
ซึ่งเกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายปี
หรือหลายทศวรรษแล้ว
ประเทศไทยยืนอยู่ตรงไหนในเรื่องของโทษประหารชีวิต
แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฉบับที่
2
ตั้งแต่ปี
2552 -
2556 เสนอให้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิต
กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงยุติธรรมได้ถูกกำหนดให้รับผิดชอบเกี่ยวกับการอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องโทษประหารชีวิตในรัฐสภา
แต่ว่ามีการสนับสนุนโดยน้อยนิดจากรัฐบาล
หรือมีจัดสรรงบประมาณสำหรับกิจกรรมดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม
การเสนอให้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิตนั้นถูกเขียนไว้อีกครั้งในร่างแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฉบับที่
3
ระหว่างปี
2557 –
2561
สิ่งจูงใจนั้นในเรื่องดังกล่าวนั้นดูเหมือนจะมาจากปัจจัยภายนอก
ในการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนภายใต้กลไก
Universal
Periodic Review (UPR) ในปี
2554
ซึ่ง
10
ประเทศสมาชิกสหประชาชาติได้เตือนประเทศไทยเกี่ยวกับพันธกรณีในการปกป้องสิทธิในการในการมีชีวิต
(Right
to Life)
กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้มีการงดออกเสียงในเรื่องโทษประหารหลังจากนั้นแทนที่จะออกเสียงคัดค้านในเวทีสหประชาชาติ
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นการยอมรับให้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิต
แต่การงดออกเสียงดังกล่าวก็ถือว่าเป็นการสัญญาณที่ดีสำหรับประเทศที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมอย่างประเทศไทย
แนวทางในการยกเลิกโทษประหารชีวิตของไทยอาจมีได้ดังนี้
การยึดเวลาของสถานะในปัจจุบันออกไป
คำแถลงการณ์ของของข้าราชการระดับสูงของกระทรวงยุติธรรมยืนยันว่า
การประหารชีวิตในอนาคตนั้นคงไม่น่าจะเกิดขึ้น
ซึ่งอาจส่งผลให้ในปี 2562
ประเทศไทยมีสภาพเป็นประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตแล้วในทางปฏิบัติ
(de
facto) อย่างไรก็ตาม
การยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัตินี้
สามารถจบลงเมื่อไหร่ก็ได้
เพราะว่าไม่มีหลักเกณฑ์
หรือข้อกำหนดอันเป็นสากลที่กำหนดแน่นอน
แนวทางในการปฏิบัตินี้อาจเป็นแนวทางที่ผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองใช้เป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการสนับสนุนการยกเลิกโทษประหารชีวิตโดยตรง
เพราะเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าประชาชนโดยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยในการยกเลิกโทษประหารชีวิต
ในขณะเดียวกัน
ประเทศไทยกำลังจะก้าวไปสู่การยกเลิกประหารชีวิต
โดยที่การยกเลิกโทษประหารชีวิตได้ถูกนำเสนออยู่ในแผนสิทธิมนุษยชนแผนที่
2 (2552
– 2556) และร่างแผนสิทธิมนุษยชนแผนที่
3 (2557
– 2561) ซึ่งในร่างฉบับที่
3
นี้เองที่มีการนำเสนอให้มีการทำงานวิจัยในเรื่องในแผนสิทธิมนุษยชนซึ่งต้องมีการปฏิรูปทางกฎหมายก่อนที่จะสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้
แผนการสำรวจความคิดของประชาชนจากงานประชุมต่างๆ
ที่จัดขึ้นในสี่ภูมิภาคของประเทศไทย
และการอภิปรายในรัฐสภา
ซึ่งร่างแผนสิทธิมนุษยชนนี้อยู่ในความรับผิดชอบของกรมสิทธิและเสรีภาพ
กระทรวงยุติธรรม
ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนักวิชาการในเรื่องของงานวิจัยและผลของการวิจัย
อย่างไรก็ตาม ในร่างแผนสิทธิมนุษยชนนี้
ไม่มีการกล่าวถึงเรื่องของการรณรงค์การยกเลิกโทษประหารชีวิตเพื่อแจ้งให้ประชาชนทราบเกี่ยวกับประโยชน์ของการยกเลิกโทษประหารชีวิตและผลกระทบของการคงไว้ซึ่งโทษดังกล่าว
การกล้าที่จะมีมติยอมรับให้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิตโดยผู้นำประเทศ
ซึ่งเกิดขึ้นในทุกประเทศทั่วโลกที่มีการปฏิเสธการลงโทษประหารชีวิต
สิทธิมนุษยชนนั้นไม่ได้หาได้จากความคิดส่วนใหญ่ของประชาชน
หรือวิธีการประชานิยม
แต่สิทธิมนุษยชนนั้นหาได้จากจริยธรรมอันดีงาม
มีการพิสูจน์มากมายที่บ่งบอกว่าชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่มีค่าเกินกว่าที่จะทำลาย
ผู้ที่ต้องการเหตุผลสนับสนุนในเรื่องการยกเลิกโทษประหารหรือสนใจที่จะศึกษาสามารถทำความเข้าใจกับงานวิจัยหรือเอกสารต่างๆ
ที่ได้มีการพิสูจน์แล้วว่าการประหารชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
การยกเลิกโทษประหารชีวิตในประเทศส่วนใหญ่ที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติก็สามารถเป็นแนวทางให้ศึกษาได้สำหรับเรื่องนี้
สิ่งต่างๆ
เหล่านั้นเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าสิทธิในการมีชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ
เช่นเดียวกับที่มีการพิสูจน์ว่าการทรมานและการมีทาสถือเป็นสิ่งที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรม
“If
the trumpet plays an uncertain sound, who shall prepare for battle”
หรือแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า“ถ้าหากการเป่าแตรให้สัญญาณรบเป็นไปด้วยความไม่มั่นใจ
ใครเล่าจะพร้อมรบ”
ตัวอย่างผู้นำทางการเมืองที่นำประชาชนสู้การยกเลิกโทษประหารได้แก่
เช่น อดีตประธานาธิบดี José
Ramos-Horta แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต
อดีตประธานาธิบดี Gloria
Arroyo แห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
และ ประธานาธิบดี
Tsakhiagiin
Elbegdorj แห่งสาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย
สำหรับประเทศไทยนั้นยังคงต้องการการทำให้ประชาชนตระหนักถึงสิทธิของการมีชีวิตซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรุกล้ำได้
ดร.
แดนทอง
บรีน,
โครงการเรื่องโทษประหารชีวิตของสมาคมสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
(สสส.)